
ไวรัสคอมพิวเตอร์คือ
________________________________________
โปรแกรมที่สามารถ"ติดต่อ"กับ โปรแกรมอื่นได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเหล่านั้น ให้รวมตัวของไวรัสเข้าไปด้วย นั่นคือไวรัสทุกตัวสามารถ copy ตัวมันเองได้ ไวรัสส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยง การตรวจจับด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกครั้งที่มันติดต่อ
ไวรัสที่เราควรจะต้องระวังคือ ไวรัสชนิดที่มีความสามารถ อย่างอื่นนอกเหนือไปจากการ copy ตัวเองประมาณ 5% ของไวรัสทั้งหมด สามารถขัดขวางการทำงานตามปกติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถเหล่านี้อาจจะเป็นเพียง ข้อความปรากฎบนจอคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ทำลาย ข้อมูลทั้ง hard disk ซึ่งตามปกติแล้วไวรัสใช้นาฬิกาของ เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตัวบอกว่าเมื่อไหร่ตัวไวรัสเองจะทำงาน
เคยมีกรณีที่โปรแกรมเมอร์บางคนซ่อนคำสั่งไว้กับโปรแกรม ที่แจกจ่ายไปโดยเฉพาะบน internet เมื่อเรา run โปรแกรม คำสั่งที่ซ่อนอยู่ก็จะเริ่มทำงานด้วยการเข้าโค้ด ข้อมูลบน hard disk ทำให้เราไม่สามารถอ่านข้อมูลหรือ run โปรแกรมบน hard disk ได้อีก ทางเดียวที่จะสามารถ อ่านข้อมูลบน hard disk ได้อีกคือ จ่ายเงินให้โปรแกรมเมอร์ คนนั้นเพื่อบอกวิธีคลายโค้ดบน hard disk โปรแกรมเหล่านี้ ไม่อาจนับเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ได้หากมันไม่สามารถ copy ตัวมันเองได้ และไม่สามารถติดต่อได้
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ run คำสั่งทีละคำสั่ง แต่ใน ปัจจุบันคำสั่งหลายๆคำสั่งสามารถ run พร้อมๆกันได้ บางครั้งโปรแกรมเหล่านี้ทำงานนอกเหนือขอบเขต ของตนเองที่กำหนดไว้ตอนเขียนโปรแกรม การทำงาน นอกขอบเขตของโปรแกรมจะทำลายข้อมูลของเครื่อง คอมพิวเตอร์และความเสียหายจะเกิดขึ้นที่หน่วยความจำซึ่ง มีลักษณะที่เรียกว่า wormholes และตัวที่ทำให้เกิด wormholes นี้เรียกว่า worms
ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งได้เป็น 3 ประเภทตามวิธีการ ติดต่อคือ boot sector viruses, program viruses และ macro viruses
1. boot sector viruses จะ copy ตัวมันเองลงบน แผ่น diskette และลงบน boot sector ของ hard disk (boot sector คือตำแหน่งที่เก็บคำสั่งที่ จำเป็นต้องใช้เวลาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์) เมื่อเราเปิด หรือ reboot เครื่องคอมพิวเตอร์ boot sector viruses ติดต่อได้เพียงจากแผ่น diskette เท่านั้น แต่จะไม่ ติดต่อเวลาใช้ไฟล์หรือโปรแกรมร่วมกัน ทุกวันนี้ boot sector viruses ไม่แพร่หลายเหมือนแต่ก่อน เพราะ ส่วนมากเดี๋ยวนี้เราจะ boot เครื่อง คอมพิวเตอร์จาก hard disk เสียเป็นส่วนใหญ่
2. program viruses จะติดต่อกับ executable files ซึ่งได้แก่ไฟล์ที่ลงท้ายด้วย .COM หรือ .EXE และยัง สามารถติดต่อไปยังไฟล์อื่นๆซึ่งโปรแกรมที่ลง ท้ายด้วย .COM หรือ .EXE เรียกใช้ ไฟล์เหล่านี้ได้แก่ ไฟล์ที่ลงท้ายด้วย .SYS, .DLL, .BIN เป็นต้น
3. macro viruses จะติดต่อกับไฟล์ซึ่งใช้เป็น ต้นแบบ (template) ในการสร้างเอกสาร (documents หรือ spreadsheet) หลังจากที่ ต้นแบบในการใช้สร้างเอกสารติดไวรัสแล้ว ทุกๆเอกสารที่เปิดขึ้นใช้ด้วยต้นแบบอันนั้น จะเกิดความเสียหายขึ้น สิ่งสำคัญที่พึงระลึกไว้ก็คือว่า ไวรัสจะทำงาน ก็ต่อเมื่อเรา run โปรแกรมที่ติดไวรัสนั้น แต่ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่ติดไวรัสในกรณีดังต่อไปนี้
1. เปิดอ่าน e-mail เพียงเปิดอ่าน e-mail ไม่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ติดไวรัสได้ อย่างไรก็ตามถ้า e-mail นั้นมีเอกสาร หรือไฟล์ติดมาด้วย (ดูที่ attachments) เครื่อง คอมพิวเตอร์อาจจะติดไวรัสได้ถ้าหากว่าเอกสารหรือ ไฟล์มีไวรัสอยู่ ดังนั้นถ้ามีเอกสารหรือไฟล์ส่งมา พร้อมกับ e-mail ควรจะ scan หาไวรัส ก่อนที่จะเปิดเอกสารขึ้นอ่าน หรือ run ไฟล์นั้น
2. อ่าน web pages มี bugs ใน Internet Explorer ของ Micrsoft อย่างนึงคือ ถ้าคุณไม่ใช้ security function ซึ่ง เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Internet Explorer โปรแกรม ActiveX Control บางโปรแกรมสามารถ จัดไฟล์ ; หรือค้นหาข้อมูลบน hard disk ของคุณ อย่างไรก็ตามนี่ไม่อาจนับเป็นไวรัสได้
3. download ไฟล์จาก internet การ download ไฟล์จาก internet ไม่ทำให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัสได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ จะติดไวรัสถ้าไฟล์ที่คุณ download มามีไวรัส และคุณ run ไฟล์หรือโปรแกรมนั้น ทางที่ดีควรจะ scan หาไวรัสจากทุกไฟล์ที่คุณ download มีหลายครั้งที่สิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ และเราคิดว่าเป็นเพราะไวรัสแต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ สิ่งผิดปกติเหล่านี้ได้แก่ bugs ของตัว โปรแกรมเอง, ความผิดปกติของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และ การเตือนที่ผิดพลาดของโปรแกรมตรวจจับไวรัส bugs ของตัวโปรแกรมเกิดจากความผิดพลาดของ โปรแกรมเมอร์ และจะเกิดมากเป็นพิเศษกับโปรแกรม ที่แจกจ่ายมา (โดยเฉพาะบน internet) เพื่อทำการทดสอบก่อนที่จะวางจำหน่าย โปรแกรม เหล่านี้อาจจะถูกตั้งชื่อเป็น prerelease, alpha version หรือ beta version เป็นต้น
4. ความผิดปกติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ขึ้นอยู่กับตัว คอมพิวเตอร์ hardware เอง หรือตัวโปรแกรม ซึ่งใช้เป็น device driver สำหรับ hardware นั้น บางครั้งที่เราใช้โปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำ มากกว่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์มีอยู่ หรือโปรแกรม ที่ต้องการจอภาพที่มีความละเอียดสูง อาจ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานผิดปกติ หรือไม่ ทำงานเลยก็ได้
5. โปรแกรมที่ใช้ตรวจจับไวรัส ส่วนมาก จะคอยตรวจ ความผิดปกติของ executable files (ไฟล์ที่ ลงท้ายด้วย .COM หรือ .EXE และไฟล์อื่นๆที่ เกี่ยวข้องในการทำงานอย่างเช่นไฟล์ที่ลงท้ายด้วย .DLL เป็นต้น) อย่างเช่น ขนาดของไฟล์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่โปรแกรมตรวจจับไวรัส คิดว่าเป็นไวรัส อาจจะไม่ใช่ไวรัสเสมอไปถ้าโปรแกรม ตรวจจับไวรัสไม่สามารถบอกได้ว่าไวรัสตัวนั้นคืออะไร
6. วิธีในการป้องกันไวรัส แม้ว่าจะมีไวรัสหลายพันชนิด แต่ไวรัสส่วนใหญ่อยู่ใน ห้องทดลองคอมพิวเตอร์ มีไวรัสเพียงประมาณ 500 กว่าชนิดที่ยังอาละวาดอยู่ และส่วนใหญ่ไวรัสเหล่านี้ แทบจะไม่มีอันตรายต่อคอมพิวเตอร์และข้อมูล เพียงแต่ อาจจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงด้วยการ แย่งใช้หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีวิธีง่ายๆ 6 วิธีที่จะช่วยป้องกันเครื่อง คอมพิวเตอร์และข้อมูลจากไวรัส
ใช้โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (anti-virus) อย่างไรก็ตามไม่มีโปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส โปรแกรมใดสมบูรณ์แบบ การเตือนที่ผิดพลาดว่า มีไวรัสก่อให้เกิดความรำคาญพอๆกับตัวไวรัสเอง อย่าลืมว่าจะต้อง update โปรแกรมที่ใช้ตรวจจับ และ
กำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบคลุมถึง ไวรัสชนิดใหม่ๆ
1. scan ทุกไฟล์บนดิสเกตต์และ CD-ROM ก่อน นำลง hard disk
2. scan ทุกไฟล์ที่ download มาจาก internet
3. scan ไฟล์หรือโปรแกรมที่ติดมากับ e-mail ก่อน ที่จะเปิดอ่านหรือเก็บลงบน hard disk
4. เก็บเอกสารในรูปของ ASCII Text Mode หรือ Rich Text Format (RTF) โดยเฉพาะเอกสารที่ใช้ ร่วมกันบน network ทั้งสอง format จะไม่ save ส่วนที่เป็น macro ลงพร้อมกับเอกสารด้วยซึ่งทำให้ ปลอดภัยจาก macro viruses
5. back up ข้อมูลและโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญอย่าเก็บ back up ไว้ใน hard disk อันเดียวกันกับข้อมูลและโปรแกรมจริง
จะกำจัดไวรัสได้อย่างไร ; โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (anti-virus) ส่วนมากจะ scan หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เปิดเครื่องและควรจะเตือนเมื่อเราเปิดไฟล์ หรือ run โปรแกรมที่มีไวรัส หากโปรแกรม anti-virus พบ ไวรัส มักจะถามว่าจะให้กำจัดไวรัสหรือไม่ หากไม่สามารถ กำจัดไวรัสได้โปรแกรมจะถามว่าต้องการให้ลบไฟล์ หรือ โปรแกรมที่ติดไวรัสทิ้งหรือไม่ และนี่คือความจำเป็นที่เรา จะต้องมี back up หากไฟล์หรือโปรแกรมติดไวรัส และไม่ สามารถกำจัดได้ จนต้องลบทิ้ง
เราควรจะทำอย่างไร หากพบไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์
1. ใจเย็นๆ ไวรัสอาจจะยังไม่ทำลายข้อมูลใดๆก็ได้ แต่หากคุณใจร้อน คุณอาจจะเป็นคนทำลายข้อมูลเสียเอง
2. ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และ boot เครื่องใหม่ด้วย แผ่นดิสเกตต์ที่ไม่มีไวรัส
3. ค้นหา และกำจัดไวรัสด้วยโปรแกรม anti-virus หากจำเป็นอาจจะต้องลบไฟล์ที่ติดไวรัสทิ้ง และแทนที่ ด้วยไฟล์เดียวกันที่ back up ไว้ก่อนหน้านี้
4. scan ทุกไฟล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
5. ถ้าไม่สามารถกำจัดไวรัสได้ เห็นทีว่าจะต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากบริษัทที่คุณซื้อคอมพิวเตอร์
(ที่มาwww.jarp.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น